10 คำถาม ปัญหาโรคผิวหนัง

ถาม : ใครเป็นได้บ้าง?

ตอบ: เป็นได้ทั้งชายและหญิง แต่มักพบในผู้ชายมากกว่า ซึ่งจากกาพบว่าประมาณ 50% ผู้ชายจะมีปัญหาผมบางศีรษะล้าน

ถาม : แล้วทำไมผู้ชายถึงมีปัญหาหัวล้านมากกว่าผู้หญิง

ตอบ : เพราะว่าความผิดปกติของโรคนี้ฝังอยู่ใน ยีน(Gene) หรือสารพันธุกรรมของเรา ซึ่งปกติได้รับ 50%มาจากพ่อ อีก 50% มาจากแม่ ซึ่งในผู้ชายหากได้รับ ยีนผิดปกติมาเพียงข้างเดียวไม่ว่าจะทางพ่อหรือทางแม่ จะเป็นโรคนี้ทันทีแต่ถ้าเป็นเพศหญิงต้องได้รับยีนผิดปกติมาจากทั้งพ่อและแม่ถึงจะเป็นโรค ได้รับข้างเดียวจะไม่แสดงอาการ เพราะฉนั้นเลยเป็นเหตุให้พบโรคนี้ในผู้ชายมากกว่า

ถาม : แล้วถ้าพ่อแม่ไม่เป็นผมดกดีเราจะเป็นได้ไหม

ตอบ : ก็ยังมีโอกาสเป็นได้ เพราะในผู้ชายอาจได้รับยีนแฝงมาจากแม่ที่ไม่แสดงอาการ หรือกรณีที่พ่อแม่ไม่มียีนผิดปกติ ลูกก็อาจเกิดการกลายพันธุ์ขึ้นและเป็นโรคขึ้นมาก็สามารถเกิดขึ้นได้

ถาม : ถ้าเป็นจะแสดงอาการตอนไหน

ตอบ : ผู้ชายมักแสดงอาการในช่วงอายุ 30-40ปี แต่ในกรณีที่ได้รับยีนผิดปกติมาสองตัวอาจเริ่มเป็นในช่วงอายุ 20 ปีได้ ส่วนผู้หญิงมักเริ่มแสดงอาการในช่วง 40-50 ปี

ถาม : อาการเริ่มต้นที่บอกว่าจะเป็นโรคนี้คืออะไร

ตอบ : ในผู้ชายจะเริ่มที่เส้นผมตามไรผมด้านหน้าเริ่มหลุดร่วงผมที่ขึ้นใหม่เส้นเล็กลงเรื่อยๆ ไรผมตรงขมับสองข้างผมจะหลุดร่วงและร่นเข้าไป (Bitemporal recession) ดังในรูปที่1 ส่วนในผู้หญิงผมจะหลุดร่วงเส้นเล็กลงเช่นกันแต่จะเริ่มที่กลางกระหม่อมโดยที่ไรผมด้านหน้ายังปกติ ดังรูปที่2

ถาม : รักษาได้หรือไม่และหายขาดได้หรือไม่

ตอบ : รักษาได้แต่ไม่สามารถทำให้หายขาด เพราะความผิดนั้นฝังอยู่ในพันธุกรรมของผู้ป่วย การรักษาด้วยยาทั้งยาทาและรับประทานแค่ยับยั้งอาการไว้หากหยุดรักษา 2-3 เดือนผมก็จะเริ่มหลุดร่วงใหม่และภายใน 6 เดือนก็กลับเข้าสู่สภาวะก่อนรักษา

ถาม : งั้นก็ต้องรักษาไปตลอดชีวิตเลยเหรอ

ตอบ : ก็ไม่เชิง เพราะโรคนี้ไม่ได้ส่งผลหรือมีอันตรายต่อร่างกายใดๆ เพียงแต่ส่งผลถึงจิตใจในด้านความมั่นใจในการเข้าสังคมและความพึงพอใจในบุคลิกภาพของตัวเอง เพราะฉนั้นในช่วงที่เริ่มเป็นผู้ป่วยอาจยังต้องใช้บุคลิกภาพในอาชีพการงาน จึงต้องรักษา แต่เมื่อเวลาล่วงเลยจนเข้าวัยที่เริ่มรู้สึกว่าผมบางศีรษะล้านเป็นเรื่องปกติและรับสภาพได้แล้ว ก็สามารถหยุดรักษาได้

ถาม : การรักษาทำอย่างไร

ตอบ : ปัจจุบันการรักษาหลักๆยังคงเป็น ยาทาและHair tonic เช่น Minoxidil , Hirsuit ยารับประทาน มีหลายตัวส่วนมากจะเป็น กลุ่มที่ออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมน เช่น Finasteride , Dutasteride การรักษาด้วยยารับประทานควรให้รักษาโดยแพทย์ไม่แนะนำให้ซื้อยาใช้เองเพราะผลข้างเคียงรวมถึงข้อบ่งใช้ในยาแต่ละตัวค่อนข้างซับซ้อน อาจต้องมีการเจาะเลือดตรวจก่อนรักษา การรักษากว่าจะเริ่มเห็นผลต้องใช้เวลาอย่างน้อย6เดือนผู้ป่วยต้องอาศัยความอดทนในการรักษาพอสมควร

ถาม : นอกจากกินยาทายาแล้วมีวิธีการักษาอื่นอีกไหม

การปลูกผม (Hair Transplant) คือการนำผมผมบริเวณท้ายทอยย้ายมาปลูกด้านหน้า ข้อดี ตรงที่เราจะได้ผมจริงขึ้นในบริเวณที่ต้องการ ข้อเสีย มีอยู่หลายประการ เช่นผลการรักษาไม่ได้ 100% ผู้ป่วยจะเกิดแผลเป็นหลังทำ ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน คนที่มีจำนวนรากผมน้อยก็ไม่สามารถทำได้เป็นต้น การปลูกผมด้วยเส้นผมเสมือนจริง(Biofiber) ก็เป็นอีกวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศและเริ่มมีการเข้ามาใช้ในประเทศไทยในปีนี้(2016) วิธีการนี้จะทำการปลูกเส้นผมไบโอไฟเบอร์ (Biofibre) ลงบนหนังศีรษะของเราโดยตรงด้วยเทคนิคที่ผ่านการฝึกอบรมและใช้เครื่องปลูกอัตโนมัติ

ถาม : Biofiber คืออะไรปลอดภัยแค่ไหน

ตอบ : เส้นผมไบโอไฟเบอร์ (Biofibre) ผลิตจากโพลีเอมายด์ ที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ทำอันตรายต่อร่างกาย แล้วเคลือบด้วยสารเคราตินทั้งเส้น โดยสารนี้เป็นสารชนิดเดียวกับเคลือบผมเราอยู่ เส้นผมไบโอไฟเบอร์ (Biofibre) มีรูปร่างและลักษณ์เหมือนเส้นผมจริงทุกประการ มีหลากหลายสีและ ความยาวตั้งแต่ 15 ถึง 45 เซนติเมตร เครื่องปลูกอัตโนมัติให้ความแม่นยำในการปลูก เจ็บน้อยใช้เวลาปลูกไม่นาน ให้ผลการรักษา 100% เส้นผมไบโอไฟเบอร์ (Biofibre) ติดแน่นบนหนังศีรษะ จำนวนเส้นผมที่ปลูก เราสามารถกำหนดได้เองและทำการปลูกซ้ำได้เรื่อย ๆ ในยุโรปผู้ป่วยที่ปลูกผมไบโอไฟเบอร์ (Biofibre) มีความพึงพอใจมากถึง 96.2% หลังจากปลูกผมไบโอไฟเบอร์เสร็จแล้วเราสามารถกลับใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้นและยังสามารถทำกิจกรรมได้อย่างปกติ ไม่ว่าจะ สระผม หวีผม ย้อมสีผม ว่ายน้ำ ออกกำลังกาย เป็นต้น